ประเพณียี่เป็งล้านนาใน 5 มิติ
ประวัติความเป็นมาของประเพณียี่เป็งในล้านนา
ประเพณี ยี่เป็ง (คำเมือง: ป๋าเวณียี่เป็ง) หมายถึง วันเพ็ญเดือนยี่ หรือวันพระจันทร์เต็มดวงเดือนสองตามปฏิทินล้านนา ซึ่งตรงกับช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปีในปฏิทินสุริยคติ ปัจจุบันยี่เป็งถือเป็นเทศกาลลอยกระทงของชาวล้านนา แต่มีรากเหง้าที่เก่าแก่ย้อนไปถึงอาณาจักรล้านนาโบราณในพุทธศตวรรษที่ 14 (ประมาณพ.ศ. 1800) มีหลักฐานว่ามีการประกอบพิธี “ลอยโขมด” มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรหริภุญชัย (ลำพูน) ซึ่งเป็นการลอยกระทงในน้ำยามคืนวันเพ็ญเดือนยี่ และจุดประทีปเทียนให้แสงไฟสะท้อนกับผิวน้ำดูคล้ายดวงไฟของผีโขมด ตามบันทึกของ มณี พยอมยงค์ นักวิชาการด้านล้านนา ประเพณีนี้จึงสืบทอดมายาวนานในภูมิภาคล้านนา ก่อนจะแพร่หลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีลอยกระทงในปัจจุบัน
ตำนานพื้นเมืองล้านนาเล่าขานถึงที่มาของยี่เป็งไว้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ. 1490 ณ เมืองหริภุญชัย ชาวเมืองกลุ่มหนึ่ง (เชื่อว่าเป็นชนเผ่ามอญ/เม็ง) ได้อพยพหนีโรคระบาดออกไปอยู่เมืองอื่นชั่วคราว ครั้นโรคสงบลง พวกเขาก็เดินทางกลับมาตุภูมิ และจัดทำ สะเปา (เรือเล็กจำลอง) ใส่อาหารคาวหวานและเครื่องสักการะ ลอยไปตามลำน้ำปิง กวง และทา เพื่อส่งความระลึกถึงญาติพี่น้องที่ยังอยู่แดนไกล พิธีลอยสะเปาหรือ ลอยโขมด ตามตำนานนี้เอง กลายเป็นจุดกำเนิดของประเพณีลอยกระทง/ยี่เป็งที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ เมื่ออาณาจักรล้านนาได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาเถรวาทอย่างเข้มข้น การฉลองวันเพ็ญเดือนยี่จึงผนวกรวมเข้ากับคติการบูชาพระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น มีคติว่าการจุดโคมไฟเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์และรอยพระพุทธบาท เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารากฐานของยี่เป็งผูกพันกับศาสนาพุทธในล้านนามาโดยตลอด
ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง
พระสงฆ์และชาวบ้านร่วมกันปล่อยโคมลอยในวัด ท่ามกลางโคมไฟหลากสีที่ประดับไว้ในเทศกาลยี่เป็ง
ยี่เป็งเป็นประเพณีที่อบอวลด้วยความเชื่อและพิธีกรรมที่ผสมผสานคติความศรัทธาทั้งทางพุทธศาสนาและความเชื่อท้องถิ่นของชาวล้านนา แต่ดั้งเดิมนั้น การลอยกระทง หรือ ลอยสะเปา มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความกตัญญูและขอขมาต่อพระแม่คงคา เทพธิดาแห่งสายน้ำ ผู้ประทานน้ำมาให้ดำรงชีวิตและเพาะปลูก ชาวล้านนาจะประดิษฐ์กระทงใส่ดอกไม้ ธูปเทียน แล้วนำไปลอยในแม่น้ำช่วงคืนวันเพ็ญเดือนยี่ อธิษฐานขอบคุณสายน้ำและขอให้ชำระล้างสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต ในขณะเดียวกัน อีกความเชื่อหนึ่งมองว่าการลอยกระทงคือ การลอยเคราะห์ เพื่อปลดเปลื้องเคราะห์กรรมและเสนียดจัญไรทั้งหลายให้ลอยไปกับสายน้ำ เป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิตให้เริ่มต้นสิ่งใหม่ที่เป็นมงคล
นอกจากการลอยกระทงในน้ำแล้ว การปล่อยโคมลอย (โคมไฟที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า) ก็เป็นพิธีกรรมเด่นของยี่เป็งที่สืบทอดกันมา โคมลอยหรือ โคมไฟลอยฟ้า นี้ คนล้านนามีความเชื่อว่าเปรียบเสมือนการนำสิ่งไม่ดีทั้งปวงให้ลอยลับหายไป พร้อมๆ กับเป็นการนำส่งคำอธิษฐานหรือความหวังของตนขึ้นไปเบื้องบนฟ้า ในคืนวันเพ็ญ ยามที่แสงจันทร์สว่างเต็มดวง การปล่อยโคมนับร้อยนับพันดวงขึ้นสู่ฟากฟ้านั้น เชื่อว่าจะช่วยพาสิ่งอัปมงคลให้ออกไปจากชีวิต และต้อนรับสิ่งดีงามที่จะเข้ามาในปีใหม่ที่จะถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีคติความเชื่อผูกโยงการปล่อยโคมกับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ กล่าวคือ โคมลอยนั้นเปรียบดังเครื่องบูชา พระเกศแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า ซึ่งชาวล้านนาเชื่อว่าเป็นพระธาตุสำคัญประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีจอ การปล่อยโคมในวันยี่เป็งจึงมีนัยเป็นการสักการะพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ให้ผู้ที่ไม่อาจเดินทางไปนมัสการได้มีโอกาสถวายบูชาจากแดนมนุษย์เบื้องล่างนั่นเอง
การจุดประทีปโคมไฟ ถือเป็นอีกหนึ่งพิธีสำคัญที่อยู่คู่ยี่เป็งมาแต่โบราณ ทุกครัวเรือนจะเตรียม ผางประทีป (ขันดินเผาเล็กๆ สำหรับใส่น้ำมันหรือน้ำผึ้งจุดเป็นประทีป) จำนวนมากไว้จุดในคืนวันเพ็ญเดือนยี่ เพื่อบูชาพระรัตนตรัยและเสริมสิริมงคลให้แก่บ้านเรือน คติชนล้านนาเล่าว่าธรรมเนียมนี้เกี่ยวข้องกับตำนานพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเกิดจากไข่ของ แม่กาเผือก (อีกาเผือก) ที่ถูกพายุพัดตกน้ำ แต่ละฟองได้สัตว์ต่างชนิดช่วยฟักและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่เป็นพระพุทธเจ้าทั้งห้าองค์ในกัปนี้ ชาวล้านนาจึงจุดผางประทีปเพื่อระลึกถึงพระคุณของแม่กาเผือกผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้า และเป็นพุทธบูชาถวายแด่พระพุทธเจ้าทั้งห้าองค์ดังกล่าว เมื่อถึงช่วงค่ำคืนวันเพ็ญ หลังทำวัตรสวดมนต์ ฟังเทศน์ “อานิสงส์ผางประทีป” ที่วัดแล้ว ชาวบ้านจะพร้อมใจกันจุดผางประทีปนับร้อยนับพันดวงวางรายล้อมวัดและวิหาร ให้แสงไฟระยิบระยับงดงามไปทั่วทั้งเมืองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
พิธีกรรมอื่นๆ ที่นิยมกระทำในช่วงยี่เป็ง ได้แก่ การทำบุญฟังเทศน์มหาชาติ (เทศน์ธัมม์หลวงเรื่องเวสสันดรชาดก) ซึ่งมักจัดขึ้นที่วัดในวันขึ้น 14 ค่ำ ก่อนวันยี่เป็ง 1 วัน และ การทำซุ้มประตูป่า ที่หน้าบ้านเรือนและวัดวาอาราม ชาวล้านนาจะนำต้นกล้วย ต้นอ้อย กิ่งไม้และใบไม้ต่างๆ มาจัดทำซุ้มประตูคล้ายทางเข้าเมือง ตกแต่งด้วยโคมไฟและดอกไม้จันทน์อย่างวิจิตร ซุ้มนี้สื่อถึงตอนหนึ่งในเวสสันดรชาดก ที่พระเวสสันดรเสด็จออกจากป่าเพื่อกลับเข้าเมือง ชาวบ้านจึงทำซุ้มประตูป่ารอต้อนรับ เปรียบเสมือนการต้อนรับองค์กษัตริย์ผู้ทรงบำเพ็ญบารมีกลับสู่แผ่นดินของพระองค์ นอกจากนี้ช่วงกลางวันในวันยี่เป็ง บางหมู่บ้านมีการ ปล่อยว่าวไฟ หรือว่าวควัน ซึ่งคือการทำลูกบอลลูนกระดาษขนาดใหญ่ให้อัดความร้อนจากควันไฟจนลอยขึ้นฟ้า เป็นการละเล่นที่เชื่อมโยงกับคติความเชื่อเรื่องพระธาตุ (ดังที่ได้กล่าวถึงการปล่อยโคมบูชาพระเกศแก้วฯ ข้างต้น) โดยแต่ละวัดอาจปล่อยเพียง 1-2 ลูกเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ส่วนยามค่ำคืน ประเพณียี่เป็งดั้งเดิมยังนิยม จุดบอกไฟ (จุดดอกไม้ไฟชนิดต่างๆ) เป็นมหรสพสร้างสีสัน และเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายตามความเชื่อพื้นบ้านอีกด้วย จะเห็นได้ว่าพิธีกรรมยี่เป็งมีหลากหลายมิติ ทั้งการบูชาธรรมชาติ บูชาพระพุทธเจ้า อุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ ตลอดจนการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต ความเชื่อเหล่านี้ถักทอประสานกันจนเกิดเป็นขนบธรรมเนียมที่งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นล้านนา
การเปลี่ยนแปลงของประเพณียี่เป็งจากอดีตถึงปัจจุบัน
ประเพณียี่เป็งได้วิวัฒน์ไปตามกาลเวลา มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย ปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายการส่งเสริมวัฒนธรรมการท่องเที่ยวของรัฐ จากเดิมที่เคยเป็นพิธีกรรมในวัดและชุมชนท้องถิ่นอย่างเรียบง่าย เน้นการทำบุญบูชาศาสนา ในปัจจุบันยี่เป็งกลายเป็นเทศกาลใหญ่ระดับจังหวัดที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีหน่วยงานราชการและเอกชนเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนและจัดงานมากขึ้น
ในอดีต พื้นที่ประกอบพิธียี่เป็งจะอยู่ในบริเวณวัดและชุมชนใกล้วัดเป็นหลัก แต่ละครัวเรือนและคุ้มวัดจะเตรียมงานกันเอง เช่น การประดับโคมไฟ ทำซุ้มประตูป่า จัดตั้งธรรมหลวงเทศน์มหาชาติ และจุดประทีปโคมไฟบูชาพระตามแบบแผนดั้งเดิม ความสำคัญของงานอยู่ที่การสร้างกุศลและสืบสานคติความเชื่อทางศาสนา มากกว่าจะเป็นงานรื่นเริงเพื่อความบันเทิงล้วนๆ ย้อนกลับไปราวต้นพุทธศตวรรษที่ 25 (ช่วงปี พ.ศ. 2460-2470) ในสมัยที่ล้านนาเริ่มรับวัฒนธรรมจากสยาม มีการนำประเพณีลอยกระทงแบบภาคกลางเข้ามาเผยแพร่ในเชียงใหม่ ตัวอย่างเช่น พระราชชายาเจ้าดารารัศมี (พระชายาในร.5 ชาวเชียงใหม่) ทรงริเริ่มให้มีการทำกระทงจากกาบกล้วยหรือไม้ลงรักเป็นรูปเรือเล็กและรูปหงส์ แล้วจุดเทียนลอยในน้ำตามแบบกรุงเทพฯ อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกประเพณีใหม่ดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมแพร่หลายนัก เนื่องจากชาวเชียงใหม่ส่วนใหญ่ยังยึดถือขนบยี่เป็งแบบเดิม คือเน้นประดับประทีปโคมไฟตามบ้านและฟังเทศน์มหาชาติที่วัดในคืนเพ็ญเดือนยี่มากกว่า
ในระยะหลัง โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ได้ถูกปรับโฉมให้เป็น “เทศกาลลอยกระทง” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ในช่วงปี พ.ศ. 2490 นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ (นายทิม โชตนา) ได้ริเริ่มจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองยี่เป็งในที่สาธารณะ เช่น บริเวณข่วงประตูท่าแพ มีขบวนแห่และการละเล่น เพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชน ต่อมาเมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ตั้งสำนักงานที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2512 การจัดงานยี่เป็งก็ยิ่งใหญ่เป็นระบบมากขึ้น โดยมีการจัดงาน “ยี่เป็งเชียงใหม่” ติดต่อกันสองวัน คือคืนวันเพ็ญเดือนยี่ (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ไทย) จะจัดให้ประชาชนลอยกระทงเล็กตามแม่น้ำลำคลอง และในคืนวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 จะจัดขบวนแห่ประกวดกระทงใหญ่ (สะเปาใหญ่) แห่ไปตามถนนสายสำคัญ เช่น ถนนท่าแพไปจนถึงสะพานนวรัฐ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ประเพณียี่เป็งก็ได้รับการประชาสัมพันธ์และดึงดูดผู้คนให้มีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศงานยี่เป็งเชียงใหม่ จนเทศกาลนี้กลายเป็นไฮไลต์ด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรมของภาคเหนือไปโดยปริยาย
รูปแบบของงานยี่เป็งในปัจจุบัน มีการเพิ่มเติมกิจกรรมบันเทิงและการประกวดต่างๆ ให้สอดแทรกอยู่ในพิธีกรรมดั้งเดิม เช่น การประกวดนางงามและเทพบุตรยี่เป็ง การประกวดขบวนแห่กระทงใหญ่ชิงถ้วยพระราชทาน การประกวดกระทงฝีมือใบตองดอกไม้สด การประกวดโคมยี่เป็ง (โคมแขวนใหญ่) รวมถึงการแสดงแสงสีเสียงและพลุไฟอย่างอลังการ บรรยากาศโดยรวมจึงเต็มไปด้วยสีสันครึกครื้น อีกทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนยังร่วมกันตกแต่งเมืองเชียงใหม่ให้สว่างไสวด้วยโคมไฟนับหมื่นดวงในช่วงเทศกาล สถานที่สำคัญอย่างคูเมือง ประตูเมือง และวัดต่างๆ ถูกประดับประดาด้วยโคมยี่เป็งและผางประทีปอย่างสวยงาม สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน
อย่างไรก็ดี การปรับตัวเข้าสู่ความเป็น “เทศกาลท่องเที่ยว” นี้ ก็ก่อให้เกิดความท้าทายในด้านการอนุรักษ์แก่นแท้ของประเพณีดั้งเดิมและการจัดการผลกระทบต่างๆ ภาครัฐต้องออกกฎระเบียบควบคุมการปล่อยโคมลอยอย่างเข้มงวด เช่น กำหนดช่วงเวลาและพื้นที่อนุญาตให้ปล่อยโคม เพื่อลดความเสี่ยงต่ออัคคีภัย อุบัติเหตุทางอากาศ และมลพิษสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากโคมลอยจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีการรณรงค์ให้ประชาชนลดจำนวนกระทงที่ลอยลงน้ำหรือใช้วัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายง่าย เพื่อลดปริมาณขยะในแม่น้ำคูคลองหลังคืนลอยกระทง นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและหน่วยงานวัฒนธรรมบางแห่งยังพยายามฟื้นฟูองค์ความรู้ดั้งเดิมของยี่เป็ง เช่น การจัดกิจกรรมสาธิตทำซุ้มประตูป่าแบบโบราณ การสอนประดิษฐ์โคมกระดาษด้วยวิธีดั้งเดิม และการเล่าเรื่องตำนานยี่เป็งให้คนรุ่นใหม่ฟัง เพื่อรักษาสาระและคุณค่าของประเพณีไม่ให้สูญหายไปกับกระแสการท่องเที่ยวสมัยใหม่
ภาพรวมจึงกล่าวได้ว่า ประเพณียี่เป็งล้านนาได้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวตามบริบทสังคมอย่างต่อเนื่อง แม้รูปแบบการจัดงานในปัจจุบันจะต่างจากอดีตอยู่มาก แต่หัวใจสำคัญของงานยังคงอยู่ที่การรวมผู้คนให้มาทำบุญและเฉลิมฉลองร่วมกันในคืนวันเพ็ญ ด้วยความเชื่อและศรัทธาที่สืบทอดจากบรรพชน ทั้งยังแสดงถึงความยืดหยุ่นของประเพณีที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ โดยไม่ลืมรากฐานทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่หล่อหลอมมาแต่โบราณ
ความเชื่อมโยงกับปฏิทินจันทรคติล้านนา
ปฏิทินจันทรคติล้านนา หรือการนับเดือนแบบล้านนานั้น มีความแตกต่างจากการนับเดือนทางภาคกลางอยู่เล็กน้อย กล่าวคือ ชาวล้านนานับเดือนทางจันทรคติ “เร็ว” กว่าปฏิทินจันทรคติของไทยภาคกลางประมาณ 2 เดือน ตัวอย่างเช่น เดือนอ้าย (เดือนที่หนึ่ง) ของล้านนาจะตรงกับช่วงเดือนตุลาคมในปฏิทินสุริยคติไทย ขณะที่เดือนอ้ายของภาคกลางจะตรงกับเดือนธันวาคม ดังนั้น เดือนยี่ (เดือนที่สอง) ของล้านนาจึงตรงกับช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งก็คือเดือนสิบสองตามจันทรคติของไทยกลางนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ วันเพ็ญเดือนยี่ของล้านนา (ยี่เป็ง) จึงมักตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบสองของไทย ซึ่งเป็นวันลอยกระทงตามที่คนไทยทั่วไปยึดถือ อาจกล่าวได้ว่ายี่เป็งกับวันลอยกระทงเกิดขึ้นคนละระบบปฏิทินกัน แต่บังเอิญมาตรงกันที่วันเวลาช่วงเดียวกันพอดี จึงถูกมองว่าเป็นเทศกาลเดียวกันในสายตาคนยุคหลัง ทั้งที่ความหมายและพิธีกรรมดั้งเดิมแตกต่างกันพอสมควรในแต่ละท้องถิ่น
การนับเดือนของล้านนาได้รับอิทธิพลจากระบบจันทรคติแบบจุลศักราช (ซึ่งมาจากอารยธรรมมอญ-พม่า-ล้านช้าง) ผสมกับคติความเชื่อท้องถิ่น ตัวเลขชื่อเดือนของล้านนาใช้ “เลขไทยเดิม” เช่น เดือนหนึ่งเรียกว่าเดือนเจียงหรือเดือนเกี๋ยง เดือนสองเรียกว่าเดือนยี่ เดือนสามเรียกว่าเดือนสาม (ออกเสียงตรงตัว) ไปจนถึงเดือนสิบสองเรียกว่าเดือนสิบสองหรือเดือนเป็ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเดือนแปดสองหนในปีอธิกมาสคล้ายกับปฏิทินจันทรคติทั่วไป เมื่อเทียบปฏิทินสองระบบนี้เข้าด้วยกันจะพบว่า วันยี่เป็ง ของล้านนาคือวันเพ็ญเดือนสอง (ยี่) ส่วน วันลอยกระทง ของไทยภาคกลางคือวันเพ็ญเดือนสิบสอง ทั้งสองวันตรงกันที่ดวงจันทร์เต็มดวงช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ในมุมมองของชาวล้านนาโบราณ วันยี่เป็งจะถือเป็นช่วงปลายปีและเริ่มฤดูเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ ขณะที่ชาวไทยภาคกลางถือวันเพ็ญเดือนสิบสองเป็นช่วงสิ้นฤดูฝนที่น้ำหลากเต็มตลิ่งนั่นเอง
นอกจากนี้ ปฏิทินล้านนายังมีความเชื่อมโยงกับเทศกาลสำคัญอื่นๆ ของท้องถิ่น เช่น เดือนสี่ของล้านนา (ประมาณมกราคม) มีประเพณีตานตุงและปอยหลวง เดือนแปดของล้านนา (ประมาณพฤษภาคม) จัดประเพณีสงกรานต์ปีใหม่เมือง ดังนั้นการรู้จักระบบปฏิทินจันทรคติล้านนาจึงช่วยให้เข้าใจบริบททางวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ได้ดีขึ้น สำหรับยี่เป็งเอง การที่เป็นวันเพ็ญเดือนยี่ตามปฏิทินพื้นเมือง ทำให้คนล้านนาเรียกเทศกาลนี้ต่างจากคำว่าลอยกระทงของส่วนอื่นๆ ประเทศ และมีขนบพิธีที่ผูกกับช่วงเวลาเดือนยี่โดยเฉพาะ เช่น ความเชื่อเรื่องประตูสวรรค์และประตูนรกที่เปิดในวันสิบสองเป็งก่อนหน้านั้น เป็นต้น อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้คนทั่วไปมักเข้าใจง่ายๆ ว่ายี่เป็งก็คือเทศกาลลอยกระทงของภาคเหนือ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่การตระหนักถึงที่มาด้านปฏิทินย่อมทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเทศกาลนี้คือภูมิปัญญาการปรับปฏิทินและความเชื่อของคนล้านนา ให้สอดประสานกับสภาพภูมิอากาศและวิถีชีวิตการเกษตรของตนเอง
ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สะท้อนผ่านงานยี่เป็ง
“ผางประทีป” หรือประทีปดินเผาขนาดเล็ก ใส่น้ำมันหรือน้ำผึ้งสำหรับจุดไฟ เป็นงานหัตถกรรมภูมิปัญญาของชาวล้านนาที่ใช้ในพิธียี่เป็ง
ประเพณียี่เป็งมิได้เป็นเพียงงานรื่นเริง หากแต่ยังสะท้อนถึง ภูมิปัญญาท้องถิ่น และศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านหลากหลายแขนงของชาวล้านนา ทั้งงานช่างฝีมือ การแสดงพื้นเมือง ตลอดจนอาหารการกินและการละเล่นพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาช้านาน
ช่างฝีมือทำโคมยี่เป็ง – ศิลปะการทำโคมไฟกระดาษเป็นภูมิปัญญาที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของล้านนา ในช่วงก่อนวันยี่เป็ง ช่างพื้นบ้านผู้ชำนาญจะประดิษฐ์ โคม (โคมกระดาษรูปทรงต่างๆ) เตรียมไว้สำหรับตกแต่งวัดและบ้านเรือน ตลอดจนใช้จุดผางประทีปบูชาพระในวันงาน โคมยี่เป็งของล้านนามีหลากหลายประเภท เช่น โคมแขวน ที่แขวนประดับตามวิหาร เจดีย์ และหน้าบ้าน (นิยมทำรูปทรงดาว หลายแฉก ทรงผนึกลวดลายวิจิตร) โคมตั้ง สำหรับตั้งพื้น หรือ โคมลอย ที่จุดให้ลอยขึ้นฟ้า แต่ละแบบต้องอาศัยความรู้ด้านช่างไม้ไผ่และกระดาษสา ช่างจะเหลาโครงไม้ไผ่ให้บางเบา ทำโครงเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม ทรงดาว เหลี่ยม และขึงกระดาษสาหรือกระดาษว่าวที่ทาด้วยน้ำยางหรือแป้งเปียกให้ตึงเรียบ ก่อนจะวาดลวดลายลงบนผิวโคมอย่างประณีต ในอดีตมักวาดเป็นลวดลายธรรมชาติหรือรวงข้าวปั่นสี สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันบางแห่งประยุกต์ใช้กระดาษสีสำเร็จรูปและไฟฟ้าเข้าช่วย แต่แก่นของงานทำมือดั้งเดิมยังคงได้รับการสืบสาน เช่น เทศบาลเชียงใหม่จัดประกวด โคมยี่เป็งล้านนา (โคมแขวนใหญ่) เป็นเวทีให้ช่างท้องถิ่นได้โชว์ฝีมือและถ่ายทอดภูมิปัญญานี้สู่วงกว้าง โคมที่ประดิษฐ์ขึ้นไม่เพียงใช้ประดับงาน แต่ยังแฝงความหมายสิริมงคล เชื่อว่าการทำโคมถวายวัดจะได้บุญกุศล เป็นดวงนำทางชีวิตให้สว่างไสวดุจแสงโคม
การจัดขบวนแห่และสะเปา – แต่โบราณมา เมื่อถึงเทศกาลยี่เป็ง ชุมชนจะร่วมแรงร่วมใจกันจัดขบวนแห่ สะเปา (เรือหรือพาหนะจำลอง) เพื่อนำเครื่องสักการะหรือพระพุทธรูปแห่ไปรอบเมืองหรือรอบวัด ขบวนสะเปามักประดับตกแต่งตระการตาด้วยดอกไม้ ใบตอง และโคมไฟในยามค่ำคืน แสดงถึงฝีมือการจัดสร้างและการทำงานร่วมกันของชาวบ้าน ในยุคปัจจุบัน ประเพณีนี้ปรับมาอยู่ในรูปแบบการประกวดขบวนแห่กระทงใหญ่สะเปาล้านนา ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของงานยี่เป็งเชียงใหม่ทุกปี ขบวนแห่แต่ละขบวนมีการตกแต่งสะเปาด้วยหัตถกรรมใบตอง ดอกไม้สด พนมน้ำหอม ธงตุง และโคมแขวนอย่างวิจิตรบรรจง มีการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมืองประกอบขบวนเพื่อสร้างความบันเทิง ระหว่างการแสดงขบวนแห่ ผู้ชมจะได้ยลโฉม “นางงามยี่เป็ง” และ “เทพบุตรยี่เป็ง” ที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองงดงาม นั่งมาในขบวนสะเปา เป็นสีสันของงานอีกส่วนหนึ่ง ขนบการทำสะเปาและการแห่นี้สะท้อนภูมิปัญญาด้านงานช่างและการประสานสามัคคีของคนในท้องถิ่น ที่ช่วยกันสืบทอดงานบุญใหญ่ของบ้านเมืองให้ยั่งยืน
ศิลปะการแสดงและการฟ้อนรำพื้นเมือง – ยี่เป็งเป็นโอกาสสำคัญที่ชุมชนจะได้แสดงศิลปวัฒนธรรมของตนอย่างเต็มที่ หนึ่งในการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของยี่เป็งเชียงใหม่คือ ฟ้อนเทียน หรือ ฟ้อนผางประทีป ซึ่งนักฟ้อน (ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวชุดพื้นเมือง) จะถือเทียนหรือถ้วยผางประทีปที่จุดไฟไว้ในมือทั้งสองข้าง ร่ายรำพร้อมเพรียงกันอย่างอ่อนช้อยในยามค่ำคืน การฟ้อนเทียนนี้ถือเป็นการฟ้อนบูชาพระธาตุและพระพุทธเจ้าของชาวเหนือ และมักจัดแสดงในพิธีเปิดเทศกาลยี่เป็งทุกปีบริเวณข่วงประตูท่าแพหรือวัดสำคัญ มีการระดมนางรำจำนวนมาก เช่น ในปีหนึ่งเคยมีการแสดงฟ้อนผางประทีปโดยนางรำกว่า 700 คน กลางสนามหญ้าข่วงเมืองเชียงใหม่ สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ชมเป็นอย่างมาก การแสดงอื่นๆ ที่มักพบในงานยี่เป็ง ได้แก่ การเล่นดนตรีพื้นเมือง (สะล้อ ซอ ซึง) ประกอบจังหวะขบวนแห่และการฟ้อน, การละเล่นพื้นเมือง เช่น การยิงพลุประทัดแบบล้านนา (บอกไฟปู่จี่) หรือการจุดดอกไม้ไฟหมุนเป็นรูปตราหมากเบ็ง เป็นต้น แม้ในปัจจุบันบางการละเล่นดั้งเดิมจะพบเห็นได้น้อยลง แต่ก็ยังพอมีการนำมาสาธิตหรือแสดงให้ชมในบริเวณงานเพื่อไม่ให้สูญหายไปจากความทรงจำของคนรุ่นใหม่
หัตถกรรมและอาหารพื้นบ้าน – เทศกาลยี่เป็งยังเป็นเวทีแสดงผลงานหัตถกรรมพื้นบ้านอื่นๆ นอกเหนือจากโคมไฟ เช่น การทำตุง (ธงประดับ), การแกะสลักผักผลไม้, การจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่สำหรับใช้ในงานบุญ ตลอดจนเป็นช่วงที่งานฝีมือผลิตของที่ระลึกจากล้านนาจะจำหน่ายดีกว่าเวลาปกติ ในส่วนของอาหารนั้น แต่เดิมหลังการทำบุญยี่เป็งที่วัด ชาวบ้านมักร่วมรับประทาน ข้าวใหม่ และอาหารพื้นเมืองที่แต่ละครอบครัวนำมาทำบุญ แบ่งปันกันลิ้มลอง ถือเป็นการเฉลิมฉลองผลผลิตใหม่หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับในเมืองเชียงใหม่ยุคปัจจุบัน ช่วงเทศกาลยี่เป็งจะมีการออกร้านขายอาหารพื้นเมืองมากมายริมถนนและรอบคูเมือง ทั้งอาหารคาวหวาน เช่น ขนมจ็อก (ขนมเทียนล้านนา), ข้าวต้มห่อ, ไส้อั่ว, ขนมวง (ขนมโดนัทโบราณล้านนา) ฯลฯ ให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มรส สะท้อนถึงภูมิปัญญาการถนอมอาหารและการปรุงอาหารท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ โดยอาหารหลายชนิดเกี่ยวพันกับความเชื่อ เช่น ขนมจ๊อก ที่ห่อด้วยใบตองเป็นรูปสามเหลี่ยมใช้ในพิธีใส่ขันดอกบูชาพระธาตุ หรือ ข้าวมธุปายาส (ข้าวขาวคลุกน้ำอ้อยและมะพร้าว) ที่ทำเป็นพิเศษเพื่อนำไปถวายพระในช่วงยี่เป็ง ตามคติในพระไตรปิฎกที่ว่าพระพุทธเจ้าเคยเสวยข้าวมธุปายาสก่อนตรัสรู้ ภูมิปัญญาการปรุงอาหารและขนมเหล่านี้ได้รับการสืบทอดผ่านครอบครัวและชุมชน ทำให้งานยี่เป็งเป็นช่วงเวลาที่องค์ความรู้ด้านอาหารพื้นเมืองเผยแพร่สู่สาธารณะควบคู่ไปกับงานบุญ
โดยสรุป ประเพณียี่เป็งล้านนา เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่รุ่มรวยด้วยความหมายและคุณค่าในหลากหลายมิติ ทั้งมิติประวัติศาสตร์ที่โยงใยกับตำนานท้องถิ่นและพุทธศาสนา มิติความเชื่อและพิธีกรรมที่สะท้อนโลกทัศน์และศรัทธาของผู้คน มิติการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยที่บ่งบอกถึงพลวัตของประเพณี ตลอดจนมิติภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แฝงอยู่ในงานศิลป์ หัตถกรรม นาฏศิลป์ และอาหารการกิน ทุกองค์ประกอบล้วนถักทอให้ยี่เป็งเป็นเทศกาลที่ทรงคุณค่า ไม่ใช่แค่ภาพโคมลอยสวยงามหรือการละเล่นสนุกสนาน แต่คือการสืบทอดจิตวิญญาณแห่งวัฒนธรรมล้านนาจากอดีตสู่ปัจจุบันอย่างมีชีวิตชีวา ดังคำกล่าวที่ว่า “ยี่เป็งล้านนา งามล้ำคุณค่า แสงประทีปร้อยดวง สานทรวงศรัทธา ผู้สืบมาอย่าได้เสื่อมสูญ” ซึ่งเตือนใจให้เราช่วยกันรักษาประเพณีงามนี้ให้อยู่คู่แผ่นดินล้านนาสืบไป.
แหล่งอ้างอิง
-
มณี พยอมยงค์ (2547). ตำนานและประเพณีล้านนา. เชียงใหม่: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ. (ความเป็นมาของประเพณียี่เป็ง | ประเพณีล้านนา ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
-
สงวน โชติสุขรัตน์ (2511). ประเพณีสิบสองเดือนของไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. (ความเป็นมาของประเพณียี่เป็ง | ประเพณีล้านนา ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
-
ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “ความเป็นมาของประเพณียี่เป็ง.” ประเพณีล้านนา. เข้าถึงได้จาก Lanna Information Center, CMU Library. (ความเป็นมาของประเพณียี่เป็ง | ประเพณีล้านนา ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) (ความเป็นมาของประเพณียี่เป็ง | ประเพณีล้านนา ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
-
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “ลอยกระทง.” พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มช. (ออนไลน์), เข้าถึง 2566. (ลอยกระทง – พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มช.) (ลอยกระทง – พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มช.)
-
วิกิพีเดีย. “ปฏิทินไทเดิม – ปฏิทินล้านนา.” (ออนไลน์) (ปฏิทินไทเดิม – วิกิพีเดีย)